เที่ยวเวเนโต้ part II
...."หลายคนอาจจะแย้งว่าพายจากด้านเดียวก็มีให้เห็นทั่วไปเช่นในเวียดนามหรือเมืองจีนแต่ จริงๆ แล้วมันคนละชั้นกันเลยถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนเกวียนกับรถม้าที่เรียกว่า coach ทำนองนั้น เรือกอนโดลาออกแบบได้สวยงามและสง่างามแบบเรือแจวที่ไหนก็คงเทียบไม่ได้..."
มารู้จักกับกอนโดลาของเวนิส ( Venetian gondolas)
สำหรับการทำความรู้จักเวนิสอย่างแท้จริงเราคงต้องทำความรู้จักกับพาหนะคู่บ้านคู่เมืองเวนิสที่เรียกว่ากอนโดลาซึ่งต้นกำเนิดมันอยู่ที่แถวโบสถ์ SanTrovaso ในเขต (sestiere) Dorsoduro ที่มุมของ RioSan Trovaso และ RioOgnissanti ซึ่งน่าจะเป็นอู่เรือกอนโดล่าต้นตำหรับที่ยังคงเหลือใช้จริงอยู่ในปัจจุบัน
Squero (อู่กอนโดลา) ที่ San Trovaso เริ่มต้นต่อเรือกอนโดลามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 คำว่า Squero มีรากศัพท์มาจากคำว่า Squara หมายถึงทีมหรือกลุ่มบุคคลที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างเรือ ดังนั้น Squero คืออู่ที่ผลิตและซ่อมแซม กอนโดลานั่นเอง
เรือกอนโดลามีความผูกพันธ์กับเวนิสมายาวนาน ไม่ได้เป็นเพียงไอคอนหรือเรือที่มีเอกลักษณ์เท่านั้น เพราะการไปไหนมาไหนในเวนิสนั้นต้องใช้เรือที่มีคุณสมบัติแบบกอนโดลาเพราะที่นี่มีลำคลองคคเคี้ยวซิกแซกทางน้ำแคบ การออกแบบที่ไม่สมมาตรคือมีกาบด้านซ้ายยาวกว่าทางขวามือ ช่วยให้ไม่ต้องมีการเปลี่ยนข้างพายสลับไปมาไม่ว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือขวาก็ใช้พายจากด้านขวาเท่านั้น หลายคนอาจจะแย้งว่าพายจากด้านเดียวก็มีให้เห็นทั่วไปเช่นในเวียดนามหรือเมืองจีนแต่ จริงๆ แล้วมันคนละชั้นกันเลยถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนเกวียนกับรถม้าที่เรียกว่า coach ทำนองนั้น เรือกอนโดลาออกแบบได้สวยงามและสง่างามแบบเรือแจวที่ไหนก็คงเทียบไม่ได้
กอนโดลามีรูปร่างเพียวสง่าและดูเนี้ยบ ที่มีเอกลักษณ์และคุณสมบัติแบบนี้ก็เพราะขั้นตอนการสร้างที่พิถีพิถันและซับซ้อนขึ้นอยู่กับเทคนิคและหลักการที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงนับศตวรรษมาแล้ว ส่วนประกอบของมันทั้งหมดมี 280 ชิ้นลักษณะไม้เข้าลิ้นทำขึ้นด้วยมือและมันถูกนำมาเชื่อมต่อกันพอดีกันเหมือนจิ๊กซอว์ ชิ้นส่วนเหล่านี้ทำจากไม้แปดประเภทที่แตกต่างกันคือ ไม้โอ๊ค มะฮอกกานี เชอร์รี่ ลาช เฟอร์ วอลนัท เอล์มและมะนาว (oak, mahogany, cherry, larch, fir, walnut, elm, and lime,) ซึ่งไม้แต่ละชนิดมีคุณสมบัติเฉพาะของพวกมันจำเป็นที่ใช้ในแต่ละจุดเพื่อความสมดุลของเรือ เช่นไม้โอ๊คเพราะมันแข็งแรงทนทานและมีขนาดยาวเหมาะทำโครงสร้างที่เป็นบอร์ด ส่วนเอล์มมันมีความยืดหยุ่นโค้งงอได้มีความจำเป็นที่จะทำ sanconi (องค์ประกอบที่เว้าโค้งของกรอบ) ในขณะที่ไม้เฟอร์ใช้เป็นผิวตัวถัง เพราะมันสามารถทนอยู่ในน้ำเกลือ และไม้เชอร์รี่เพราะมันดัดงอได้อย่างง่ายดายเมื่อถูกความร้อน ฯลฯ
credit picture:myveniceapartment.com
ส่วนประกอบที่เป็นโลหะมีเพียงส่วนหัวเรือที่เรียกว่า ferro (ด้านหน้า) และ Risso ที่สเติร์น (ด้านหลัง) รูปร่างโค้งมนแบบตัว S ของ ferro เป็นเหมือนส่วนโค้งรูปตัว S ของแกรนด์คาแนลหากมองจากมุมสูงจะเห็นชัดเจน ในขณะที่ด้านบนหมายเป็นเหมือนทรงหมวกของ Doge (เจ้าผู้ครองนครเวนิส) ที่เป็นคล้ายฟัน 6 ซี่หมายถึง sestieri (เขตหรืออำเภอ) ทั้งหกของเมืองเวนิสส่วนที่เป็นลวดลายขั้นระหว่างซี่ทั้ง 6 เลียนแบบช่องแสงของสะพานโค้ง Rialto และส่วนท้ายเรือ Risso หมายถึงการเป็นตัวแทนของเกาะ Giudecca
credit picture: http://adventure.howstuffworks.com/gondola2.htm
กอนโดลาในสมัยก่อนมักจะถูกใช้เป็นพาหนะของขุนนางและคหบดีจึงแตกต่างจากรุ่นปัจุจบันอยู่เมื่อก่อนนี้มีการออกแบบหัวเรือที่สูงกว่าและส่วน felze ช่วงกลางของเรือซึ่งเป็นห้องโดยสารแบบถอดได้ที่มีการติดตั้งเป็นหลังคาให้ผู้โดยสารเพื่อให้คุ้มฝนคุ้มแดด felze จะถูกตกแต่งอย่างหรูหราและมักจะมีหน้าต่างเล็กๆ ที่อาจจะปิดด้วยหน้าต่างแบบมู่ลี่ และยังมีประตูทางเข้าจากข้างหลังพอเข้าไปนั่งในส่วนโดยสาร (cabin) ก็จะมีความเป็นส่วนตัวเหมือนนั่งรถม้า (coach) แต่หลังจากที่ยกเลิกระบบสมบูรณาญาฯไปก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ความเป็นส่วนตัวผู้ใช้เพราะกลายมาเป็นนักท่องเที่ยวซึ่งต้องการดูวิวมากกว่า กอนโดลาจะต้องมีการตรวจสอบความเรียบร้อย ทำความสะอาดและเคลือบด้วยน้ำมันดินเดือนละครั้งในฤดูร้อน อายุการใช้งานของมันยาวถึง 14 ปี จากนั้นกอนโดลามันจะถูกเรียกคืนเพื่อนำมาทำใหม่และนำไปใช้ต่อได้อีก 10 ปี ในศตวรรษที่ 16 เมื่อกอนโดลายังคงเป็นวิธีการเดินทางและการขนส่งหลักของที่นี่มีจำนวนเรือกว่า 10,000 ลำแล่นอยู่ในคลองต่างๆ ของเวนิส แต่วันนี้มีเพียงประมาณ 400 ลำเท่านั้น ซึ่งที่เหลือตอนนี้ส่วนใหญ่จะใช้บริการนักท่องเที่ยวยังผลให้จำนวน squero หรือธุรกิจอู่กอนโดลาปิดตัวไปจนเหลือไม่กี่แห่ง
วิธีที่จะมาเป็นกอนโดลิเอ่หรือคนแจวเรือกอนโดลา How to Become a Gondolier
ไม่มีอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวนิสได้เหนือไปกว่าเรือกอนโดลา ที่เป็นพาหนะคู่บ้านคู่เมืองรับใช้คนที่มีอำนาจและฐานันดรของนครรัฐแห่งนี้ในอดีต นอกจากการต่อเรือที่กว่าจะได้กอนโดลา 1 ลำนั้นไม่ใช่ง่ายๆ แต่งานของคนพายเรือกอนโดลาที่เราเรียกว่ากอนโดลิเอ่ก็ถือว่าเป็นงานฝีมือเช่นกัน พวกเขาต้องถูกฝึกอบรมและต้องมีความอดทนและมีวินัยสูงจึงมาเป็นคนแจวเรือจ้างของที่นี่ได้ คำว่าผู้ชายพายเรือนั้นอาจฟังดูไม่ดีเลยสำหรับคนไทย แต่พวกกอนโดลิเอ่ถือว่าเค้าได้รับเกียรติหรือถูกคัดเลือกขึ้นมาให้พายเรือที่ชาวเวนิสภาคภูมิใจ และพวกเขาถือว่าเป็นหนึ่งในงานที่โรแมนติกที่สุดในโลกอีกด้วย ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมาทำอาชีพนี้ได้ มันมีโอกาสน้อยมากที่คุณจะได้รับใบอนุญาตแจวเรือกอนโดลาถ้าคุณไม่ได้เกิดมาใน ครอบครัว gondoliering และถ้าคุณไม่ได้เป็นเพศชายและเป็นชาวเวเนเชียน คุณก็แทบไม่ต้องคิด (มันเหมือนอาชีพสงวนเหมือนเมืองไทยหรือเปล่าที่คนขับรถตุ๊กๆ หรือคนถีบสามล้อรับจ้างในต่างจังหวะต้องมีสัญชาติไทยเท่านั้น) ส่วนใหญ่ใบอนุญาตพายเรือมักจะถูกส่งผ่านลงไปแบบมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นในครอบครัวนั้น ที่น่าสนใจมากๆ ก็คือรายได้ของอาชีพนี้ไม่เลวเลยนะครับ (ประมาณ $ 150,000 ต่อปีในปี 2007) นี่เป็นใบอนุญาตที่มีคุณค่ามากสำหรับชาวเวนิเซีย แต่มันไม่ใช่ของง่ายแม้คุณจะมีคุณพ่อคุณปู่ที่แจวกอนโดลามาก็ไม่ใช่จะได้ใบอนุญาตง่ายเหมือนได้ใบขับขี่ไทย คุณต้องการฝึกๆๆๆๆ! งานแจวเรือในคลองเวนิสเป็นงานที่ต้องมีสุขภาพร่างกายที่พร้อม คุณต้องเรียนรู้เทคนิคที่จะนำเรือแจวของคุณออกจากสันทราย วิธีการสำรองฉุกเฉินและที่สำคัญที่สุดคือวิธีการที่จะหลีกเลี่ยงการชนผนังคลองและกระแทกจนผู้โดยสารของคุณหัวคะมำ ความสามารถในการทำทั้งหมดนี้จนเชี่ยวชาญอาจจะใช้เวลาจากไม่กี่เดือนจนถึงสองหรือสามปีเลยทีเดียว
credit: http://www.ehow.com/how_2079793_become-gondolier.html
คำแนะนำในการนั่งเรือกอนโดลา (ให้กอนโดเล่พาไปเที่ยวแถวเขต Cannaregio)
สองสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทราบเกี่ยวกับการล่องเรือกอนโดลาในเวนิส 1. มันคุ้มค่าและเป็นประสบการณ์ที่ดีควรต้องนั่งแม้ว่าราคาอาจรู้สึกแพงไปหน่อย 2. ราคาต้องตกลงกันล่วงหน้าและควรลองต่อราคากับลำอื่นที่ห่างออกไปเพื่อทราบมาตรฐานก่อน
คุณสามารถเลือกรับการบริการล่องเรือกอนโดลาเกือบทุกที่ใน Venice แต่อยากแนะนำให้อยู่ห่างสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไว้ดีกว่าโดยเฉพาะคลองใหญ่หรือ Grand Canal รวมทั้งบริเวณลากูนด้านหน้าจัตุรัสซานมาร์โก นอกจากน้ำในคลองที่อาจจะไม่นิ่งเท่าที่ควรแต่บรรยากาศแถวนั้นมันไม่เงียบสงบเพราะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ดังนั้นหากท่านต้องการความเงียบสงบลำคลองมีน้ำนิ่ง และสถานที่ซึ่งทำให้ท่านรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลาหลายศตวรรษ ให้ลองไปขึ้นเรือแถว Rialto Mercato และขอให้เขาพาเราข้ามไปที่ เขต Cannaregio พื้นที่ที่ยังคงโดดเด่นไปด้วยความพิเศษหลายอย่าง เช่นโบสถ์หินอ่อนสไตล์แนเซียนเรอเนซอง Chiesa dei Miracoli ที่งดงามมีลักษณะไม่เหมือนที่อื่นหรืออาจจะผ่านไปดูบ้านของ Marco Polo นักเดินทางและพ่อค้าที่ยิ่งใหญ่ของเวนิส บ้านเค้าตั้งอยู่ใกล้กับโบสถ์ San Giovanni Crisostomo Church อยู่ทางด้านหลังโรงละคร Teatro Malibran ตัวบ้านไม่เปิดให้เข้าชมเพียงมีแต่การจารึกไว้บนหินอ่อนขนาดเล็กบนผนังตึกให้ทราบว่าที่นี่คืออาคารในประวัติศาสตร์ที่มาร์โคโปโลเคยอยู่เท่านั้น