เที่ยวเขตเวเนโต้ Part I
..."เข้าซอกซอยต่างๆ แวะดื่มกาแฟกินไอติมเรื่อยไปหรือเดินตามสาวอิตาเลียนที่ใช่ไปนั่นแหละ ไม่ต้องกลัวหลงเพราะเส้นทางหรือ calle ที่มีเสน่ห์เหล่านี้มักจะพาคุณ กลับมาที่จุดที่คุณเริ่มคือจัตุรัสซานมาร์โก Piazza San Marco!..."
cr.pic from pixabay
'เวเนโต' คือบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ Po ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลีและอยู่ใกล้บริเวณเชิงเขาของเทือกเขาแอลป์ที่อยู่ด้านเหนือและเทือกเขา massifs ทางตะวันตกของอิตาลีมันมีพื้นที่ประมาณ 18,000 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 4.8 ล้านคน มีเมืองหลวงคือเมืองเวนิส ครั้งหนึ่งเคยเป็นแผ่นดินของสาธารณรัฐเวนิส ในปัจจุบันเวเนโตเป็นเขตที่มีความมั่งคั่งและเป็นแหล่งอุตสาหกรรมมากที่สุดในประเทศอิตาลีซึ่งอุตสาหกรรมก็มีโรงกลั่นน้ำมัน โรงหลอม และอุตสาหกรรมเคมี มีความหนาแน่นแถบใกล้ Venice และ Mestre-Marghera มีโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่บริเวณเทือกเขาแอลป์ เพื่อป้อนอุตสาหกรรมวัสดุอุตสาหกรรมสิ่งทอในภาคเกษตรก็มีพื้นที่ปลูกข้าวสาลี ข้าวโพด พุ่มไม้ใบหม่อน มะกอก ผลไม้แบรี่ทั้งหลาย
เวเนโตยังเป็นเขตหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวมามากที่สุดแห่งหนึ่งอีกด้วย ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาประมาณ 60 ล้านคนในทุกๆ ปี แต่ที่น่าสนใจคงเป็นย่านปลูกองุ่นมากกว่า เนื่องจากเวเนโตคือแหล่งผลิตไวน์ Amarone ที่ลือชื่อจากย่านเวโรนานอกเหนือจากไวน์ Valpolicella และ Bardolino ตัวอื่นๆ หรือจะชอบสีขาวก็มีแชมเปญอิตาลี Prosecoหรือไวน์ขาวรสละมุนแต่ไม่แพงเช่น Soave
มาเวเนโต้ต้องเที่ยว เวนิส หรือ เวนิเซีย
cr.pic from pixabay
เวนิชนั้นตั้งอยู่บนเกาะเล็กเกาะใหญ่ถึง 118 เกาะ และมีเขตปกครองหรืออำเภอแบ่งเป็น 6 อำเภอ หรือเรียกว่า sestieri ประกอบด้วยเขต Cannaregio Castello Dorsoduro San Marco San Polo และ Santa Croce โดยมีเกาะที่น่าจะไปเที่ยวอีก 2 เกาะคือ Burano ที่มีชื่อเสียงเรื่องผ้าลูกไม้และเกาะ Murano ที่มีชื่อเรื่องการผลิตแก้ว
มันคือเมืองที่มีเอกลักษณ์ที่มีคลองเป็นถนนและมีประวัติเรื่องความรุ่งเรืองและร่ำรวยเพราะเป็นศูนย์กลางการค้าขายของยุโรปกับประเทศซีกโลกตะวันออกโดยเฉพาะจากตะวันออกกลาง
มาเวนิสต้องเที่ยวแบบไหน
มาที่เวนิชคงต้องเริ่มจากจัตุรัสซานมาร์โก Piazza San Marco ที่เปรียบเสมือนห้องรับแขกของเวนิสที่ดูหรูหราล้อมรอบไปด้วยงานสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเริ่มตั้งแต่หอระฆัง Campanile และมหาวิหาร ซานมาร์โกที่เป็นตัวอย่างอันสำคัญของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ (สถาปัตยกรรมทางยุโรปตะวันออกที่ได้อิทธิพลจากตะวันออกกลาง) ตั้งอยู่ติดและเชื่อมกับวังดยุกแห่งเวนิส หรือที่เรียกว่า Dodge Palace เดิมตัวโบสถ์เป็นโบสถ์น้อยของประมุขผู้ครองเวนิสและมิได้เป็นมหาวิหารของเมืองแต่ตั้งแต่ปีค.ศ. 1807 เป็นต้นมา บาซิลิกาก็เป็นที่ประทับของอัครบิดรแห่งเวนิสตัวสิ่งก่อสร้างเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างอย่างงดงามประดับด้วยงานโมเสกแบบไบแซนไทน์ และประติมากรรมต่างๆ ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ อำนาจ และความมั่งคั่งของเวนิส ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 จนได้รับสมญาว่า “Chiesa d'Oro” หรือ “โบสถ์ทอง” ส่วนหอนาฬิกานั้นก็เรียกว่าหอของแขกมัวร์ ที่เคยเป็นทั้งคู่ค้าและผู้บุกรุกเวนิชในอดีต ซึ่งตัวจักรกลของนาฬิกานั้นถือได้ว่าเป็นการออกแบบด้าน วิศวกรรมระดับสูงของสมัยนั้น
หากไม่ถนัดเรื่องสถาปัตยกรรมไม่อยากเบียดคนหรือรอคิวเข้าชมวังก็สามารถไปนั่งฆ่าเวลาพลางๆ ที่ร้านกาแฟที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเวนิส มันคือ Caffè Florian ที่ยิ่งใหญ่ เปิดใน 1720 มันเป็นร้านกาแฟที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลี การตกแต่งภายในที่หรูหราโดดเด่นไปด้วยปูนปั้น ภาพวาดและกระจกโบราณ ลองนึกย้อนไปในอดีตถึงลูกค้าที่มีชื่อเสียงที่เคยนั่งอยู่ตามโต๊ะต่างๆ ที่ Florian ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา มีตั้งแต่ Giacomo Casanova ลอร์ด Byron Ugo Foscolo และ Gabriele Annunzio ซึ่งเป็นบรรดาแขกของร้านที่ต้องกล่าวถึง
ข้อสำคัญของการมาเที่ยวเวนิสก็คือต้องใส่รองเท้าที่สบายเพราะการเที่ยวที่นี่ให้สนุกต้องเดินเยอะหน่อย ไม่ต้องกลัวหลง ถนนในเวนิชจะเรียกว่าแคลลัส (ถ้าเป็นเอกพจน์ Calle) คน Venetians บอกว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะรู้จักเมืองที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาคือการใช้ Calle ใดๆ ก็ได้ และเดินเที่ยวไปโดยไม่ต้องเปิดแผนที่หรือใช้ GPS ใดๆ เข้าซอกซอยต่างๆ แวะดื่มกาแฟกินไอติมเรื่อยไปหรือเดินตามสาวอิตาเลียนที่ใช่ไปนั่นแหละ ไม่ต้องกลัวหลงเพราะเส้นทางหรือ calle ที่มีเสน่ห์เหล่านี้มักจะพาคุณ กลับมาที่จุดที่คุณเริ่มคือจัตุรัสซานมาร์โก Piazza San Marco! ถ้าอยากจะเดินออกจากจัตุรัสนี้ไปเที่ยวไปเรื่อยแบบไม่ลงเรือให้เริ่มต้นจากวิหารซานมาโกเดินมุ่งไปยังทะเลและเลี้ยวซ้าย ซึ่งแน่นอนต้องไปถ่ายรูปกับ ”สะพานสะอื้น” หรือ Bridge of Sighs เป็นการเริ่มต้นก่อนถ้าจะ post ลงใน facebook แบบ tourist ตัวจริง แต่ถ้าต้องการแบบเจาะลึกก็คงแนะนำให้เดินต่อไปเรื่อยถึงเขต Castello ไปชมความงามของโบสถ์ Santa Maria dei Miracoli และ San Zaccaria รวมทั้งโบสถ์ San Giovanni in Bragora ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโบสถ์ที่สวยที่สุดของเมือง ต่อไปก็ต้องเดินผ่านแคลลัสที่พาไปเจอ Arsenale ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของเวนิซในยุคก่อนมีการปฎิวัติอุตสาหกรรม มันคืออู่ต่อเรือและป้อมปืนป้องกันเมืองโรงงานผลิตอาวุธ และสำหรับศตวรรษที่ 12 นั้นมันถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก
ถ้ามองมาทางทะเลจะเห็นเกาะ San Giorgio Maggiore มีวิหารที่มีโดมขนาดใหญ่และหอคอยที่สูงเหมาะมากสำหรับการปีนขึ้นไปถ่ายรูปวิวของเมืองเวนิสซึ่งเราจะทำให้เราเห็นว่าเวนิสไม่ได้มีแค่จัตุรัสซานมาโก และสะพานสะอื้น จริงๆ แล้วมีสะพานดังๆ ของเวนิชยังมีสะพาน Ponte dell' Accademia สะพาน Rialto (ถือเป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดสะพานหนึ่งของเวนิซ) สะพาน degli Scalzi และสะพาน DellaCostgituzione ซึ่งทันสมัยสุดๆ ตั้งใจให้เป็นคนละขั้ว contrast กับตึกอาคารโดยรอบ
สำหรับคลองหลักของเวนิชก็เป็นแกรนด์คาแนล ซึ่งมีเรือเมล์ Vaporetto เป็นแบบรถเมล์จอดตามป้ายจะไปไหนก็ได้ ส่วนเส้นทางที่ไม่มีบริการก็ใช้เรือแท็กซี่เอา
ท่านที่ชอบพิพิธภัณฑ์ศิลปะก็ต้องไป Peggy Guggenheim เป็นเหมือนคลังสมบัติที่เก็บไว้ซึ่งผลงานศิลปทรงคุณค่ามากมายตั้งอยู่ภายใน Palazzo Venier dei Leoni นอกนั้นก็ยังมี Galleries of the Accademia ตั้งอยู่ที่ Scuola Grande de la Carità หากต้องการชื่นชมกับศิลปจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ และศิลปในศตวรรษที่ 18 ของเวนิส
3 เกาะย่อยของเวนิซที่ต้องไปเที่ยว 1.Lido 2. Murano 3.Burano
เกาะ Lido
สำหรับท่านที่ชอบลักษณะการพักผ่อนแบบ jetset หรูหราสไตล์ริเวียร่านอนอาบแดดบางท่านอาจไม่เคยทราบว่าที่เวนิซก็มี beach หรือชายหาดกับเค้าด้วยนะครับดีเสียด้วย หากมีเวลาก็ขอแนะนำให้ไปเที่ยว Lido ซึ่งถ้าเป็นเมืองไทยคงตั้งชื่อว่า ”เกาะยาวใหญ่” ดูจากแผนที่จะเห็นครับว่าลักษณะของมันเป็นแบบนั้น ที่นี้ใช้เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติThe Venice Film Festival ที่มีชื่อเสียงมาก่อนเทศกาลหนังที่เมือง Canne จริงๆ แล้วที่นี่เริ่มมาก่อนแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ว่ามูโสลินีไปเข้าข้างฮิตเล่อร์เลยต้องหยุด ไปจัดงานที่เมืองคานส์แทนทำให้เทศกาลหนังเมืองคานส์เกิดขึ้นมาได้ในตอนนั้น ก็แน่นอนครับเพราะหนังส่วนใหญ่เป็นหนังอเมริกันอยู่แล้วจะมาจัดประเทศที่เป็นฝ่ายตรงข้ามได้ไง ถ้าต้องการไปดูสถานที่จัดงานให้ไปที่ Palazzo del Cinema
เกาะมูราโน
จริงอยู่ว่าเราอาจเข้าร้านแก้วมูราโน่ในเวนิสแถวจัตุรัสซานมาร์โกก็ได้แต่เราควรขึ้นเรือไปเกาะมูราโน่เพื่อชมต้นกำเนิดประเพณีเป่าแก้วอันเก่าแก่ที่ส่งต่อโดยช่างฝีมือจากรุ่นสู่รุ่น นับเป็นเทคนิคของครอบครัวที่ถือเป็นความลับทางการค้าอิงกับเทคโนโลยีที่ต้องรู้ว่าต้องใช้แร่อะไรจึงทำให้ได้สีแก้วเป็นสีอะไร มันเป็นอุตสาหกรรมขึ้นชื่อของเวนิสที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 จนได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปการทำแก้วชั้นสูงของอิตาลี มีศูนย์กลางอยู่ที่มูราโน่ Murano เขตหนึ่งของเวนิส แม้ว่าศิลปและวิธีการดั้งเดิมนั้นเชื่อว่าจะมาจากเอเซียและตะวันออกกลาง แต่ความที่เวนิสเป็นเมืองท่าศูนย์กลางการค้าใหญ่ของยุโรปในหลายยุคสมัยทำให้งานฝีมือที่นี่มีการพัฒนาปรับปรุงมาเป็นศิลปของเวนิสเองถึงขนาดช่างฝีมือทำแก้วถูกห้ามไม่ให้ย้ายออกนอกเวนิสเพราะไม่ต้องการให้ไปถ่ายทอดวิชาที่ไหนหากสอนความลับให้แล้ว น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ช่างฝีมือลดน้อยไปเหลืออยู่ไม่ถึง 1,000 คนเพราะถูกสินค้าเลียนแบบจากจีนทำเอายอดขาย มูราโนเข็นไม่ขึ้น คนซื้อโดนหลอกด้วยราคาที่ถูกกว่าและการเลียนแบบที่เหมือนจนดูไม่ออกนอกจากผู้ชำนาญจริง
วิธีการดั้งเดิมแท้ๆ นั้น แก้วมูราโน่ถูกทำขึ้นจากทรายซิลิกา 70% เพิ่ม 30% ของสารอื่นๆ ที่เรียกว่า "ฟลักซ์" และ "สารที่ทำให้คงตัว" (อาจเป็นโซดาและมะนาว) "ฟลักซ์" ช่วยให้แก้วอ่อนและยืดหยุ่นสามารถตกแต่งดัดโค้งงอได้ที่อุณหภูมิต่ำ เมื่อแก้วหลอมละลายที่อุณหภูมิต่ำก็เป็นไปได้ที่จะสร้างเป็นเนื้อเดียวกันแบบไม่มีฟองอากาศ แก้วมูราโน่โดยพื้นฐานมันจะไม่มีสี สีที่จะเกิดขึ้นจากการผสมแร่ธาตุออกไซด์และอนุพันธ์สารเคมีสร้างเป็นองค์ประกอบใหม่ของผงแก้ว นี่คือความมหัศจรรย์ของแก้ว มูราโน่ที่สามารถสร้างสรรแบบต่างๆ ไม่มีที่สิ้นสุดชิ้นงานจะเป็นสีที่โปร่งใสของแก้วปนกับสีฉูดฉาด เช่นเพื่อที่จะได้สีฟ้าแบบ Aquamarine มันต้องใช้สารทองแดงและสารโคบอลต์เพื่อจะได้สีนั้น ดังนั้นสีที่แพงที่สุดในบรรดาทุกสีก็จึงเป็นสีแดงทับทิมเพราะมันต้องผสมผงทองคำแท้เข้าไปจึงจะออกมาเป็นสีนั้น
วันนี้ช่างฝีมือมูราโน่ยังคงใช้เทคนิคเก่าแก่ดั้งเดิมเป็นศตวรรษนี้ ทำทุกอย่างจากงานหัตถกรรมแก้วศิลปร่วมสมัยและกระเบื้องแก้วมูราโน่ตลอดจนโคมระย้า Chandelier แก้วไวน์และ stoppers จุกที่ปิดขวดไวน์ ถ้าไปเที่ยวเวนิสแล้วมีเวลาเราก็สามารถไปเที่ยว Muranoได้ห่างจากจัตุรัส San Marcoไปไม่ถึง 2 กิโลจะขึ้นเรือเมล์ Vaporetto ก็ได้ ที่นั่นจะมีแต่บ้านสไตล์เรเนสซองและมีประภาคารสีขาวเด่นเป็นสัญญลักษณ์ ทุกวันนี้มูราโน่ยังคงเป็นศูนย์กลางสำคัญของแหล่งปฏิบัติการช่างฝีมือที่ทำกันเป็นอุตสาหกรรมในเชิงพาณิชย์ แน่นอนว่ายี่ห้อหรือ studio ต่างๆ เหล่านี้ของเมืองเวนิส เช่น Salviati Barovier&Toso FerroMurano และ Berengo Studio นั้นเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกในด้านงานแก้ว ที่หลายๆ บ้านในยุโรปหรือบ้านท่านอาจมีมันอยู่แล้ว และมันก็เป็นเหตุผลที่ดีที่พวก studio ที่ขึ้นชื่อเหล่านี้ยังคงจ้าง artisanry ช่างฝีมือเก่าแก่ทำโคมระย้าและเครื่องแก้วที่ทรงคุณค่าของอิตาลีเหล่านี้อยู่ต่อไป ซึ่งจะทำให้สินค้านั้นรับประกันได้เรื่องคุณภาพและความเป็นมาซึ่งของเลียนแบบจากจีนไม่มีทางจะให้ได้
ก่อนจะไปเยือนพิพิธภัณฑ์ Vetro(http://museovetro.visitmuve.it/) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องแก้วของเวนิส ลองแวะโรงงานไหนสักแห่งเพื่อเข้าไปดูศิลปะของ Murano glassmaking เพื่อชื่นชมการสาธิตโดยผู้เชี่ยวชาญว่าใช้เทคนิคอะไรในการสร้างรูปร่างและรูปแบบผลงานเหล่านี้ ดูขั้นตอนการผลิตอย่างใกล้ชิดที่แท้จริง การได้ดูกระบวนการผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นจนจบถือเป็นประสบการณ์การไปเที่ยวเวนิสที่ขาดไม่ได้ ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไรครับเค้าไม่ว่ามีการสาธิตเป็นรอบๆ อยู่แล้ว
เกาะบูราโน
เกาะชื่อว่า Burano สามารถขึ้นเรือเมล์ vaporetto หมายเลข 12 ออกจากป้าย San Zaccaria ใกล้จัตุรัส St. Mark’s มันพาท่านไปทั้ง 2 เกาะ คือ Burano และ Muranoใช้เวลาไม่เกิน 45 นาทีในราคา €6.50 ต่อคน แต่ถ้าท่านไม่อยากเบียดคนเยอะก็ขึ้น Taxiน้ำ ในราคาเที่ยวละ €130 ที่ควรต้องไปก็ตรงที่ว่าบรรยากาศบนเกาะชาวประมงแห่งนี้มัน art มากมีอาคารบ้านเรือนสีฉูดฉาดเรียงรายกันอยู่เหมือนท่านเปิดกล่องสีเทียน Crayola ออกมาแบบยังไงยังงั้นเลยครับ เพราะมีบรรดาศิลปินทั้งหลายในอดีตก็มาอาศัยเกาะนี้สร้างแรงบันดาลใจและสร้างผลงานมากมายที่นี่ และบนเกาะ Brurano และที่นี่ยังมีชื่อเสียงด้านผ้าลูกไม้ (Lace) ก็สามารถซื้อเป็นของฝากผู้ใหญ่ได้ดีนะครับ มันเป็นงานผ้าลูกไม้ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปทำโดยผู้หญิงซึ่งในสมัยก่อนจะอยู่แต่ในบ้านก็เย็บผ้าไปส่วนผู้ชายไปหาปลาหรือไปทำงานฝีมือนอกบ้าน ผ้าลูกไม้ของที่นี่ผืนนึงอาจต้องใช้คนทำ 7 คนเพราะแต่ละคนถูกฝึกมาให้ชำนาญแต่ละลายแต่ละฝีเข็มไม่เหมือนกัน ผ้าผืนนึงมี 7 ลายต่อส่งต่อกันไปหลังจากคนนี้ทำเสร็จลายของตัวเองแล้วนี่คือ value ของมันครับท่าน
สามารถไปหาซื้อได้ที่ร้าน La Perla ตั้งอยู่ที่ถนน Via Galuppi 376 ถนนสายหลักของเมืองนั่นแหละครับแต่ถ้าหลงใหลงานผ้าลูกไม้เอามากๆ ก็ต้องไปที่จัตุรัส piazza di Baldassare Galuppi เพราะที่นั่นมีพิพิธภัณฑ์ผ้าลูกไม้ที่ชื่อ Scuola del Merletto จะมีงานลูกไม้ในศตวรรษที่ 16 และ 17 แล้วก็ชิ้น masterpiece คือชุดของสมเด็จพระราชินี Margherita แห่งราชวงศ์ Savoy ในสมัยที่อิตาลีรวมชาติได้ในปลายศตวรรษที่ 19
cr.pic from pixabay
“บ้านเรือนสีฉูดฉาดเรียงรายกันอยู่เหมือนท่านเปิดกล่องสีเทียน Crayola ออกมาแบบยังไงยังงั้น....”
ข้างบนนี้เป็นรูปร้าน Da Romano ที่เต็มไปด้วยภาพวาดโดยศิลปินที่เป็นขาประจำ
ไหนๆ ก็มาถึงบนเกาะ Murano ก็ควรไปทานอาหารทะเล คนท้องถิ่นบอกว่าร้านอาหารที่นี่อร่อยกว่าร้านส่วนใหญ่ในเวนิสเพราะเกาะแห่งนี้คือเกาะของชาวประมงที่จับปลาไปส่งที่เวนิส ดังนั้นเค้าอาจจะเก็บของดีไว้ที่นี่ก่อนส่งไปเวนิสก็เป็นได้ ให้ไปร้านอาหาร "Da Romano" เปิดมานานเก่าแก่ตั้งอยู่บนเกาะนี้และเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาศิลปินทั้งหลายที่มักมาทานอาหารร้านนี้กันประจำ ที่ร้านเค้าจะเก็บชื่อศิลปินที่มาไว้ครบทุกชื่อ ที่นี่ก็มีพาสต้าหมึกดำและมีชื่อเรื่องอาหารทะเลจากสัตว์น้ำทั้งหมดที่จับได้ใน lagoon (เรียกกันแบบนี้แต่ไม่ใช่บึงนะครับมันหมายถึง’ทะเลใน’ ของเวนิสมากกว่า)
อีกร้านนึงที่ต้องลองก็คือที่นี่ ร้าน Riva Rosa ที่อาหารต่างๆ เช่น risotto al gò (รีโซตโตกับปลาท้องถิ่น goby) สปาเก็ตตี้พร้อมด้วยหอยตลับและหอยแมลงภู่อบกับมันฝรั่ง turbot มาพร้อมการบริการอย่างมืออาชีพแต่ถ้าต้องการสร้างความประทับใจใครสักคนเพื่อชมวิวทิวทัศน์ในมุมกว้างบนดาดฟ้าสำหรับ 2 ท่านส่วนตัวสุดๆ พร้อมด้วยบริการจากบริกร สนนราคาก็ €150 ต่อหัวคิดรวมไวน์
แล้วก็ยังมีที่ร้าน Gatto Nero da Ruggero ที่จานปลาและจานพาสต้าเยี่ยมยอดขนาดที่ Jamie Oliver ยังต้องแนะนำในรายการTV ของเขา ราคาก็ไม่แพงมากนะครับอาหาร 3 คอร์สที่นี่ใช้งบประมาณ €40 ต่อหัวไม่รวมไวน์อร่อยและถูกกว่าร้านส่วนใหญ่ในเวนิสรับรองได้แต่ควรจองก่อนนะครับ Gatto Nero ตั้งอยู่ที่ Fondamente della Giudecca 88 โทร +39 041 730120