top of page

My Trip:New York,New York

Sweet break เบรคทานของหวานในนิวยอร์ก(ตัดมาจากบทความใหม่ผมชื่อ City Break series)

“…life is not merely a series of meaningless accidents or coincidences,but rather,it is a tapestry of events that culminate into an exquisite,sublime plan…..”

แฟนพันธุ์แท้ของหนังประเภทโรแมนติกคอมมิดี้คงจำประโยค(quote)ด้านบนจากภาพยนตร์ชื่อเท่ห์ เรื่อง Serendipity(2001) ซึ่งพระเอกกับนางเอกมาเจอกันแบบบังเอิญที่ร้านชื่อเดียวกับชื่อเรื่อง ผมดูเรื่องนี้เพราะKate Beckinsale นั่นแหละ(แม้ว่าจะไม่ได้ใส่ชุดหนังรัดรูปเหมือนในเรื่อง’Underworld’)ไม่ได้คาดหวังว่าหนังมันจะออกมาดีแต่มันก็ดีเกินที่เราคาดไว้ เหมือนความหมายของชื่อเรื่องที่แปลแบบสั้นๆว่าpleasant surprise !

ในความเป็นจริงร้านนี้เป็นร้านที่มีอยู่จริงในNYCมันชื่อSerendipity 3 อยู่เลขที่ 225 E. 60th St., โทร 212-838-3531 ระหว่างถนน2และ3อยู่ในเขตหรูหราUpper East side

มันคือร้านอาหารชื่อดัง(ดังเรื่องของหวาน)เปิดมาตั้งแต่ปี1954 แล้วโดยนาย Stephen Bruceซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเอาชื่อมาจากตำนานแห่งเจ้าชาย3พระองค์แห่งเกาะ‘Serendip’ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ ศรีลังกามาเป็นไอเดียชื่อร้านซึ่งตอบคำถามคนที่ถามว่าทำไมต้องมี 3 ต่อท้ายชื่อร้านทั้งที่ไม่ใช่สาขา3 ก็เพราะเจ้าชาย3พระองค์นี่เอง แต่บังเอิญหรือไม่ก็ไม่ทราบเพราะ คำนี้ในภาษาอังกฤษก็มีความหมายว่า ‘finding something good without looking for it’(pleasant surprise !) ซึ่งเป็นความหมายที่ดีเพราะถ้าเราไม่รู้จักร้านนี้มาก่อนดูจากด้านนอกจะเป็นร้านเล็กๆไม่น่าสนใจแต่พอได้เข้าไปแล้วกลับเจอของดีแบบไม่คาดคิดซึ่งตรงกับความหมายร้านแบบใช่เลย

ร้านนี้โด่งดังมาตั้งแต่สมัยยุค Marilyn Monroe และสุภาพสตรีหมายเลข1ของอเมริกาตอนนั้นคือ Jackie O’ ( Jaclyn Kennedy Onassis) ซึ่งทั้ง2เป็นลูกค้าประจำที่นี่ เมนูดัง(signature )ของที่นี่คือ‘Frrrozen Hot Chocolate’ (คล้ายช๊อกโกแลตเช๊กค์)ถึงขนาดว่ามาดามจากทำเนียบขาวขอสูตรเพื่อจะไปทำเลี้ยงแขกVVIPที่ทำเนียบ แต่ถูกปฏิเสธโดยนาย Stephen Bruce ซึ่งเขาก็บอกว่าเขายินดีไปทำให้เองที่งานเลี้ยงดีกว่า ปัจจุบันนี้สูตรนี้หาได้จากหนังสือ “Sweet Serendipity, a book of recipes and history” ที่มีวางขายที่ร้าน หรือจะซื้อแบบสำเร็จรูปมาชงเองก็ได้ ราคาประมาณ$17จาก Amazon.com

Golden Opulence Sundae

เมื่อปี2004มีการฉลองครบรอบ50ปีของร้านซึ่งทางร้านก็เสนอเมนูซันเดย์สุดหรูที่เรียกว่า โกลเด้นออปปูเลนซ์“ Golden Opulence Sundae” ซึ่งถูกบันทึกลงใน Guinness Book of World Records ว่าเป็นของหวานที่แพงที่สุดเพราะมันขายถ้วยละ $1000 ไม่รวมvat(ประมาณ฿33,000) มันคือไอศกรีมวานิลาที่ใช้เม็ดวานิลาจากเกาะตาฮิติ และแต่งกลิ่นด้วยวานิลาจากมาดากาสก้า ประดับด้วยใบไม้ทำจากทองคำแผ่นบริสุทธิจริง 23K ที่กินได้, ราดด้วยช็อกโกแลตซันเดย์ที่ทำจากDark Choc ที่ดีที่สุดและแพงที่สุดในโลก จากทัสคานี อิตาลี่ยี่ห้อ Amedei Porcelana,

โรยด้วย Chuao chocolate, ช็อกโกแลตที่ทำจากโกโก้ที่ดีที่สุดจากทะเล Caribbean ชายฝั่ง Venezuela ที่จานรองมีลูกกวาดผลไม้จาก Parisมาแบบเคลือบทอง (gold dragées, truffles) และ เชอร์รี่แห้งเคลือบน้ำตาลแบบตะวันออกกลาง (Marzipan Cherries) ในถ้วยเล็กๆที่วางอยู่บนแผ่นทองจะมีขนมคาเวียร์ พิเศษ (exclusive dessert caviar) ที่ทำจากไข่ปลาคาเวียร์สีทองแบบ

อเมริกัน(American Golden caviar)ที่แต่งกลิ่นรสด้วยส้มและArmagnac. ไอศกรีมจะเสริฟในถ้วยแก้วคริสตรัลสุดหรูยี่ห้อ Baccarat ทำจากHarcourt crystal จากประเทศฝรั่งเศส แล้วใช้ตักด้วยช้อนไอศกรีมทำจากทอง 18K ด้ามไข่มุกโรยด้วยน้ำตาลดอกไม้จาก Ron Ben ประเทศIsrael.

ไหนๆจะคุยเรื่องสถิติของร้านนี้แม้ว่าอาจไม่เกี่ยวกับของหวานก้อเล่าอีกสถิติหนึ่งด้วย

Le Burger Extravagant

ในปี2013 ร้าน Seredipity3 ยังได้อีกสถิติหนึ่งจากการนำเสนอ Le Burger Extravagant แฮมเบอร์เกอร์ที่แพงที่สุดในโลกขายในราคา$295.00 (£186.52) ประมาณ฿10,000

ส่วนประกอบก็มีดังนี้ เนื้อก้อน(patty) ทำจาก เนื้อวากิวจากญี่ปุ่นที่ผสมแต่งกลิ่นรสด้วยเห็ด ทรุฟเฟิลสีขาวจากเมืองAlba อิตาลี แล้วก็โปะด้วยเนยแข็งเชดด้าของ James Montgomery cheddar, ตามด้วยเห็ดทรุฟเฟิลดำสไลด์ก่อนโปะด้วยไข่นกกระทาทอด(black truffles and a fried quail egg)และยังมีการโรยด้วยผงทองคำบริสุทธิ(กินได้)บนbunขนมปัง campagna roll ที่ใช้ประกบซึ่งก่อนอื่นต้องทาด้วยเนยสดทุฟเฟิลขาวwhite truffle butterส่วนบนสุดเป็นครีมสดแบบฝรั่งเศสกับไข่ปลาคาเวียและแผ่นบลีนี่ ที่ใช้ทานกับคาเวียร์จากรัสเซีย( blini, creme fraiche ,caviar)

**หมายเหตุ:สถิติทั้ง2รายการได้ถูกบันทึกไว้ในGuinness World Records ใน เดือนพฤศจิกา 2007 และ พฤษภา 2012 ตามลำดับ

ของหวานแบบ To Go

ในขณะที่ไหนๆก็อยู่แถวถนน3แล้วสำหรับของหวานแบบลูกกวาดซื้อกลับไปฝากที่ออฟฟิซเราก็ควรต้องให้มันมีความพิเศษหน่อยไม่ใช่หยิบแต่ยี่ห้อซ้ำๆไม่ว่าไปเมืองไหนก็ยี่ห้อเดิมผมแนะนำร้านข้างล่างนี้ รับรองว่าไม่ซ้ำ และสำหรับคนพิเศษที่นี่สามารถทำของฝากที่พิมพิ์กระดาษห่อหรือแม้แต่ปั๊มในตัวขนมหรือช็อกโกแลตเป็นชื่อผู้รับได้อีกต่างหาก Dylan’s Candy Bar 1011 Third Ave., 646-735-0078

สุดท้ายก่อนจบเรื่องของหวานในนิวยอร์ก จริงๆแล้วมันจบไม่ได้เด็ดขาดถ้าจะไม่พูดถึงของหวานประจำเมืองที่มีความพิเศษไม่เหมือนที่อื่น ไช่แล้วครับมันจะเป็นอะไรไปไม่ได้

New York Cheesecake

cr.pic.from:browneyedbaker.com/

จริงๆแล้วCheesecake ถูกทำขึ้นโดยชาวกรีซ เมื่อ2400กว่าปีก่อน โดยเริ่มต้นเลยชาวกรีซชอบเอาFeta cheese มานวดผสมกับน้ำผึ้งแล้วนำไปอบด้วยฟืน และแล้วอีก300กว่าปีต่อมาพวกโรมันก็มันมาดัดแปลงโดยมีการผสมแป้งเข้าไปด้วยและถูกเรียกว่า "placenta," แล้วมันก็แพร่หลายไปในยุโรปตามยุคสมัยแต่ว่ากันว่ามันมาถึงนิวยอร์กโดยผู้อพยพชาวเยอรมันเชื้อสายยิวช่วงปี1800 และประกอบกับในปี 1872ได้มีการค้นพบ Cream cheeseขึ้นมาโดยบังเอิญโดยชาวนาจากเมืองChesterที่พยายามจะทำเนยแข็ง Neufchatel แบบฝรั่งเศสแต่ผิดพลาดเลยออกมาเป็นครีมไม่เหมือนชีส อย่างไรก็ตามนาย. James Kraft, ผู้ก่อตั้งบริษัท Kraft Foodsได้นำไอเดียนี้ไปดัดแปลงทำเป็นสินค้าบริษัทในปี 1912 โดยห่อด้วยfoil โดยปกติแล้วชีสแบบอื่นพอมีการบ่มเก็บไว้มันจะมีการเปลี่ยนแปลงในรสชาติและกลิ่นที่ทำให้นุ่มนวลหรือบ้างก็หนักแน่นและฉุนขึ้นเป็นที่ชื่นชอบของบรรดานักกินชีส แต่ครีมชีสจะไม่มีคุณสมบัตินั้นยกเว้นว่าเรานำมันไปทำcheese cakeมันกลับมีคุณสมบัติดังกล่าวดังนั้นการทานชีสเค้กที่เก็บห่อไว้วันสองวันในตู้เย็นจะได้รสชาติที่ดีกว่าcheese cakeทำใหม่ๆสดๆซะอีก เรามารู้จักร้านที่ขายสุดยอด ชีสเค็กของNYCกันดีกว่า

ร้าน Junior's: เปิดมาตั้งแต่ปี 1950, อยู่ใน Downtown Brooklyn นักกินชีสเค็กทั้งหลายในNYCให้ตำแหน่งเป็นร้านที่เสริฟ best cheesecake. เนื้อแน่นแต่ส่วนชีสเริ่มออกรสเปรี้ยวคือทุกชิ้นก่อนเสริฟจะมีการบ่มก่อนถึง48ชั่วโมงจึงนำไปขายจึงมีกลิ่นรสที่ฉุนคมเข้ม,ร้านดั่งเดิมกำลังต้องปิดย้ายไปที่ใหม่เพราะมีคอนโดมาไล่ที่ต้องรีบไปทานก่อนอยู่ที่ 386 Flatbush Avenue, Brooklyn, 718-852-5257.

S & S CHEESECAKE: นี่คือ old-school kosher bakeryคือทำตามกฎระเบียบของ Judaism ศาสนาของชาวยิวที่ต้องทานอาหาร kosher เท่านั้น ที่นี่อยู่ในย่านBronx มีแค่หน้าร้านให้สั่งซื้อไม่มีที่นั่งต้องซื้อกลับบ้านแบบ full cakes เท่านั้นมันเป็น best all-cream-cheese-cake ที่นุ่มและเข้มขนาดที่ร้านสเต็กชื่อดังของนิวยอร์กอย่าง Peter Luger ขอรับไปขาย S & S Cheesecake อยู่ที่ 222 West 238th Street between Broadway and Putnam Avenue West in Kingsbridge, the Bronx (718-549-3888, sscheesecake.com)

Eileen's Special Cheesecake: ร้าน Eileen's cheesecake จะมีรสอ่อนและครีมมี่ในขณะที่จะหยาบในส่วนที่นอนก้นเพราะจะเจอ graham crackersบด เปิดมา50ปีแล้วเช่นกัน และเนื่องจากEileenมีเชื้อสายอิตาเลียนเยอรมันส่วนผสมจึงยังมีความเป็นยุโรปอยู่เพราะใช้เนย ricotta ผสมลงไปใน cream cheeseด้วย ที่อยู่ก็ 17 Cleveland Place, 212-219-9558.

TWO LITTLE RED HENS: ร้านTwo Little Red Hens มีการลง Instagramบ่อยเรื่อง cupcakesของที่ร้านแต่ที่มันโดดเด่นที่สุดในร้านคือ สุดยอด New York cheesecake. ที่มีส่วนบนเป็นสีน้ำตาลสวยในขณะที่ส่วนกรุบกรอบที่ทำจาก graham cracker บดก็กำลังดีไม่มากน้อยเกินไปตัวเนื้อเค็กนุ่มนวลแบบที่เรียกว่า” silky perfection” และมีรส sweet and sourกำลังดี. ร้านอยู่ที่ 1652 Second Avenue between 85th and 86th Street ย่าน Upper East Side (212-452-0476, twolittleredhens.com)

Lindy's: ร้านนี้ถือเป็น Broadway deli, เคยเป็นร้านโปรดของดาราและผู้ไปชมละครบรอด์เวย์และมาแวะทาน แม้ว่าระยะหลังอาหารในร้านนี้เมนูเริ่มสู้คู่แข่งไม่ได้แต่ cheesecake, ยังคงตำแหน่ง one of the city's best เพราะ cheesecake ที่นี่มีsliceที่หนานุ่ม สีอ่อนซีด paleแบบที่นิวยอร์กชีสเค็กควรจะเป็นทุกอย่างรวมทั้งรสชาติ อยู่ที่ 825 7th Ave, 212-767-8344.

จริงๆแล้วนิวยอร์กมีอะไรที่ต้องพูดถึงอีกเยอะมากครับโปรดติดตามอ่านใน City Break:New York

Visit my other Food&Travel site

Steak&Wine

(use the following link)

#1 

http://khunpusit.wix.com/steakandwine

 

#2

This site will be regular updated 3-5 times a week.

 

#3

Please subscribe using your e-mail

bottom of page