เที่ยวทัสคานี part II
.."ผมนึกถึงการเช่ารถเล็กๆแบบ Fiat Cinquecentoที่เปิดหลังคาได้โดยการม้วนผ้าใบหลังคาออกแล้วเปิดเพลงของAndrea Bocelli ฟังไปด้วยเบาๆ ..
เที่ยวแบบไหนดีในทัสคานี?
cr.pic from:pixabay
ทัสคานี่มีมากว่าแค่เมืองฟลอเรนซหรือหอเอนปิซ่าที่เรารู้จัก ถ้าคุณเคยได้ยินคำว่า Bar hoping(บาร์ต่อบาร์)ที่หมายถึงการเข้าไปกินเหล้าบาร์ละแก้วแล้วไปต่อบาร์อื่นไปเรื่อย ในทัสคานี การเที่ยวก็จะคล้ายๆกันเป็นแบบ town hoping คือเราสามารถจัดตารางดีๆแล้วก็ขับรถเข้าเมืองนั้นออกเมืองนี้ได้หลายเมือง แต่ละแห่งเราไม่ต้องอยู่นานก็ได้ยกเว้นเมืองหลักๆอย่างSiena เราอาจจะค้างสักคืนก็ได้ เมืองที่ผมจะพูดถึงเหล่านี้มันคือเมืองเล็กๆแบบHill Townที่สะท้อนถึงความเป็นทัสคานี คือเป็นชุมชนยุคกลางต่อช่วงเรเนซองซ์และเมืองเหล่านี้มักตั้งอยู่บนยอดเนินเขาตามหลักเรื่องจุดยุทธศาสตร์ที่ป้องกันข้าศึกไม่ให้บุกขึ้นมาตีง่ายๆ Hill Townแต่ละเมืองมันสวยมีเสน่ห์ในตัวเองเพราะมีการรักษาไว้ดีหรืออาจมีการบูรณะอยู่เป้นระยะแต่ยังคงไว้ในความเป็นยุคกลางอย่างเดิม ลองนึกภาพ นักแสวงบุญและพ่อค้าในสมัยนั้นซึ่งจะเดินทางไปมาระหว่างเมืองเหล่านี้ตามเส้นทางโบราณ เช่นจากเมืองลูกาทางเหนือลงมาซานจิมิจาโนต่อไป มอนเตและเซียนา, มันเป็นเส้นทางเศรษฐกิจที่ผสมผสานกับบรรยากาศแบบชนบทที่สวยงามยังมีผลเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินเก่งๆให้มีแรงผลักดันออกผลงานศิลปะของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาออกมามากมาย
คุณรู้หรือไม่?ว่า Mona Lisa เกิดที่ทัสคานี ใช่แล้วครับผมหมายถึงผู้หญิงในรูปภาพแบบportrait ครึ่งตัวชื่อก้องโลกผลงานของปรมาจารยLeonado Da Vinciที่เค้าวาดในปี1503 มันเป็นภาพเหมือนของ Lisa Gherardini ภรรยาพ่อค้าขายเสื้อผ้าชื่อ Francesco del Giocondo(ที่มาของชื่อภาพนี้ในภาษาท้องถิ่นคือ La Gioconda)ซึ่งน่าจะเป็นเพื่อนของลีโอนาโด แต่รูปนี้วาดเสร็จเค้าไม่ได้ให้พ่อค้าคนนี้ไว้แต่เอาติดตัวไปฝรั่งเศสตามคำเชิญของ กษัตรย์ ฟร็องซัวส์ที่1แล้วภาพนี้ก็ตกเป็นสมบัติของราชวงศ์ฝรั่งเศสในที่สุดและตอนนี้ก็อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์อย่างที่เราทราบอยู่ แน่นอน เสน่ห์ของภาพนี้ก็คือการที่ผู้วาดพยามจะบอกหรือสื่อให้เราทราบว่าผู้หญิงในภาพกำลังมีความสุข (ในสมัยนั้นใช้คำภาษาลาติน Iucunda แปลว่า "pleasant, delightful, happy")แต่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของเราก็คือด้านหลังหรือbackgroundของภาพนี้มันเป็นทิวทัศน์ในทัสคานีและที่Lisaยิ้มอย่างมีความสุขนั้นก็เพราาะว่าเธออยู่ในทัศคานีนั่นเอง
็Hill Town แต่ละเมืองจะห่างกันไม่เกินหนึ่งชั่วโมงโดยรถยนต์และทิวทัศน์ระหว่างเมืองก็สวยเกินบรรยายเพราะระหว่างทางในบางช่วงบางตอนมันเหมือนเราแล่นไปบนคลื่นของทุ่งหญ้าสีเขียวเพราะภูมิประเทศแถบนี้เต็มไปด้วยเนินเขาเตี้ยๆที่สลับกับไร่องุ่นเป็นช่วงๆและยังมีต้นTuscan Cypress (ไซเปรส)ที่สูงฉลูดเป็นทรงแบบดินสอเรียงรายกันโค้งไปมาตามแนวของถนนเป็นระยะ
ผมนึกถึงการเช่ารถเล็กๆแบบFiat Cinquecento(เฟียต 500มีรายละเอียดอยู่ด้านล่าง)ที่เปิดหลังคาได้โดยการม้วนผ้าใบหลังคาออกแล้วเปิดเพลงของAndrea Bocelli ฟังไปด้วยเบาๆ ถ้าจะให้ดีเตรียมอาหารแบบ ปิคนิกไส่ตระกร้าหวายโดยมีขนมปัง Focaccia กับ salumi และมะกอกพร้อมกับน้ำแร่แบบมีฟองย่ห้อSan Pellegrino ไม่ควรดื่มอัลกอลฮอลเพราะต้องขับรถ เห็นวิวตรงไหนสวยเราก็จอดรถพักเพื่อเก็บเอาบรรยากาศและจะได้ซึมซับความเป็นทัสคานีให้เต็มที่
การวางแผนเที่ยวให้ทั่วต้องจับกลุ่มเมืองก่อนเป็นเหนือกลางใต้หากเราจะใช้Florenceเป็นเมืองปักหลักก็สามารถขับไปทัวร์ในกลุ่มแล้วกลับมาตอนเย็นได้เช่น
กลุ่มเมืองในทัสคานีตอนกลาง Central Tuscany
Siena
San Gimignano
Arezzo
Cortona
กลุ่มเมืองทัสคานีตอนใต้ South Tuscany (ถ้าชอบดื่มไวน์เมืองในกลุ่มนี้เหมาะครับ)
Abbazia di Monte oliveto
Montalcino
Sant’Antimo
Pienza
Montepulciano
กลุ่มเมืองทัสคานีตอนเหนือ Northern Tuscany(ถ้าคิดจะไปที่ยว Terreต่อก็ได้)
Lucca
Pisa
แต่ถ้าเป็นผมๆจะไม่วนกลับไปFlorenceทุกวันแบบนั้นเพราะเรามาทัสคานีเพราะต้องการความRusticหรือชนบท ผมจะวางแผนเพื่อไปพักเมืองที่มีอาหารอร่อยและมีไวน์ท้องถิ่นที่ใช้ได้ การได้ไปนั่งทานมื้อเย็นในOsteriaที่มีโต๊ะด้านนอก จิบไวน์กีอานตี้ในแก้วธรรมดาแบบไม่มีก้านชมพระอาทิตย์ตกดินคุยกับผู้ที่เราแชร์โต๊ะด้วย(เพราะOsteriaในชนบทนั้นเราอาจต้องนั่งแชร์โต๊ะกับลูกค้าของร้านคนอื่นๆ)นั้นคือประสบการณ์ที่ทำให้การเดินทางแต่ละครั้งมันไม่ซ้ำกัน
cr.pic from:pixabay
San Gimignano ซานจิมิจานโน
มันเป็นเมืองที่มีเอกลักษณไม่ซ้ำใครถูกขนานนามว่า La Città delle Torri หรือ "เมืองหอคอย" ที่มองเห็นแต่ไกลดูราวกับว่ามีskyscraperอยู่หลายแท่งจนได้รับสมญาว่า‘แมนฮัตตันแห่งยุคกลาง’ ตอนช่วงรุ่งเรืองสูงสุดมีอาคารหอคอยสูงๆอยู่ถึง 72 อาคารแต่หลังผ่านข้าศึกศัตรูมาหลายยุคสมัยทุก วันนี้มีเพียง 14 อาคารอยู่รอด
ถ้ามาSan Gimignano ต้องมาแวะร้าน ไอศกรีมอิตาเลี่ยนที่เรียกว่า เจลาโตโดยที่นี่มีร้านที่มีฝีมือระดับartisan ที่ทำการคิดค้นสร้างสรรค์เจลาโตแบบต่างๆ จนปัจจุบันเป็นร้านเจลาโตที่โด่งดังมีชื่อเสียงไปทั่วโลกชื่อร้านPiazza di Gelateria,อยู่ตรงจตุรัส Piazza della Cisterna โดยมีนายSergio Dondoli เป็น Gelato master ที่ถือเป็น celeb มีชื่อเสียงเหมือนเป็นดาราทีเดียว
หากมีโอกาสไปทานเจลาโตร้านนี้ให้สั่งรายการต่อไปนี้Crema di Santa Fina® (cream with saffron and pine nuts), Champelmo® (pink grapefruit and sparkling wine), Dolceamaro® (cream with aromatic herbs) and Vernaccia Sorbetแต่สำหรับผมแค่ต้องการรส ช็อกโกแล็ตก็พอแล้ว ถ้าไปถึงได้เวลามื้อเที่ยงพอดีก็อาจไปลองOsteria di Carcere ที่ให้บริการเสิรฟอาหารแบบTuscan คลาสสิกมากมายเช่น ribollita (ถั่วสีขาวและซุปผัก), alpappa Pomodoro (ขนมปังและน้ำซุปมะเขือเทศ) และ maiale (เนื้อซี่โครงหมูย่าง) ทานเสร็จแล้วค่อยไปเดินย่อยในเมืองสักหน่อยก่อนไปเที่ยวต่อ
Lucca
ตั้งอยู่ห่างจากฟลอเรนซ์ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือแค่ขับรถชั่วโมงเดียว ในขณะที่หลายๆ เมืองที่แนะนำให้ไปเที่ยวจะเป็น hill-town แต่ที่ Lucca นี่เป็น walled town ที่เกือบจะสมบรูณ์แบบคือในยุคกลางก็จะมีเมืองสองแบบนี้ถ้าไม่สร้างบนเขาจะอยูบนพื้นราบก็ต้องสร้างกำแพงล้อมรอบป้องกันโดน บุกรุก สถาปัตยกรรมของที่นี่ก็ไม่ได้เป็นรองที่ฟลอเรนซ์เลยในเรื่องรายละเอียดและความประณีต ให้ไปชม Duomo ของที่นี่ และ Church of San Michele ใน Foro และหากต้องการบรรยากาศยุคกลางมากๆ ต้องแวะจัตุรัส Piazza Anfiteatro ซึ่งการสร้างเมืองนี้ถ้าดูลงมาจากข้างบนลงมาจะเห็นเหมือนเป็นวงแหวนซ้อนกันหลายๆ วง ที่นี่มีซากของโรงละครกลางแจ้งโรมัน Roman amphitheatre และเป็นบ้านเกิดของนักประพันธ์เพลง ชื่อดังของอิตาลี Giacomo Puccini
Pisa
ทุกคนรู้จัก Pisa ดีอยู่แล้วเพราะมันมี หอเอน Leaning Tower แต่ในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เยอะ ทำลายบรรยากาศสุนทรีย์ของเมืองยุคกลางที่เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ถ้าเป็นผม ผมจะไปเที่ยว Lucca ก่อนแล้วมาถึงที่นี่บ่ายแก่ๆ หน่อยบรรยากาศมันจะเป็นคนละเรื่องทีเดียวครับ รถทัวร์เริ่มทยอยออกจากเมืองจนเหลือน้อยคัน นักท่องเที่ยวเริ่ม บางตาลงแถมบรรยากาศใกล้พระอาทิตย์ตกกับหอเอนก็ยอดเยี่ยมครับ Lucca ห่างจาก Pisa แค่ครึ่งชั่วโมงแล้วเราก็ไม่ต้องรีบครับถ้าเราพักที่ฟลอเรนซ์มันก็ห่างไปอีกชั่วโมงเดียว
Pienza
cr.pic from:pixabay
ตั้งอยู่ในบริเวณหุบเขา Val d’Orcia (เป็นย่านที่ขึ้นชื่อเรื่อง hiking) Pienza เป็นเมืองที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO มันคือหมู่บ้านที่ผู้กำกับดัง Zeffirelli เลือกสำหรับการถ่ายทำหนังดัง Rome and Juliet ประวัติศาสตร์ของ Pienza ระบุว่าสันตะปาปา Pope Pius II เกิดที่นี่แต่หลังจากที่ท่านได้เป็นสันตะปาปาในปี 1458 ท่านก็ได้ขอให้มีการสร้างเมืองนี้ใหม่เป็นเมือง Renaissance แบบในอุดมการณ์ มีการทดลองสร้างเมืองในอุดมคติแบบมนุษย์นิยม มันถูกจินตนาการให้เป็นเมืองยูโทเปียที่พระราชวังและจัตุรัสสาธารณะกลางเมืองจะถูกคำนวณแบบละเอียดให้ได้ขนาดเหมาะสมสำหรับคนที่อาศัยอยู่ città MISURA d'Uomo เมืองนี้ได้รับการออกแบบวางผังอย่างสวยงามเลาะเลียบไปตามพื้นที่ที่เป็นธรรมชาติแบบชนบท ที่นี่มีร้านอาหาร Latte di Luna อยู่ใจกลางเมืองมีบรรยากาศที่เป็นมิตร มันเป็น Trattoria ให้บริการของว่างแสนอร่อยแบบดั้งเดิม รายการไวน์ที่มีตัวเด่นๆ ให้เลือกจากแหล่งกำเนิดใกล้เคียงทั้ง Montepulciano และ Montalcino ภัตตาคารอีกแห่งตั้งอยู่นอกเมืองเล็กน้อย อยู่ในหมู่บ้าน Monticchiello เป็น Osteria la Portaขึ้นชื่อเรื่องอาหารทัสคานีทั่วไปตั้งแต่อาหารเรียกน้ำย่อย เช่น Salumi di cinta Senese (ซาลูมี่ทำจากหมูสายพันธุ์ท้องถิ่น) อย่าลืมสั่งของหวานเช่นพานาคอตต้า ถ้าอากาศดีควรนั่งนอกร้านมีระเบียงกลางแจ้ง
Pitigliano
Pitigliano คือเมืองที่สร้างอยู่บนขอบผาหินปูน (tufa cliffs) หมู่บ้านนี้มันจึงดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของหน้าผา ซึ่งใครอยู่ที่นี่ ก็จะได้รับวิวทัสคานีที่สวยมากมันได้ชื่อว่าเป็น “Little Jerusalem” เพราะมีชุมชนชาวยิวได้อพยพจากโรมมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 จนกระทั่งในปี 1860 นั้น 1ใน 3 ของคนที่นี่ก็คือยิว ซึ่งเป็นที่น่าสลดใจยิ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวยิวแทบทั้งหมดต้องอพยพหนีออกจากที่นี่ไปเพื่อหนีจากการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อย่างไรก็ตามที่นี่ก็มีอนุสรณ์หลายๆ อย่าง หรือพิพิธภัณฑ์ของชาวยิวที่ถือเป็นมรดกของที่นี่
Siena
Siena คือคู่แข่งของเมืองฟลอเรนซ์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร จะเห็นว่าที่นี่มีหอคอยสูง 320 ฟุตที่ Palazzo Pubblico ศาลากลางเมือง Siena มันสูงกว่าหอคอยที่พระราชวังเก่าของฟลอเรนซ์ Palazzo Vecchio แค่ 12 ฟุต ใช่แล้วมันถูกสร้างเพื่อเอาชนะกัน Siena มันแทบจะเป็นทั้ง walled town และ hill-town อยู่ในเมืองเดียวกัน ดูแล้วมันจะไม่ถูกรุกรานได้ง่ายๆ ดังนั้นความยิ่งใหญ่ยังคงอยู่ครบ ให้ไปเริ่มต้นที่จัตุรัสหลักของเมือง Il Campo ที่นี่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 แล้วก็บริเวณนี้ยังใช้เป็นที่แข่งกีฬาม้าแข่งยุคกลางที่ชื่อ Palio ปาลิโอ้ ดิ เซียน่า เป็นการแข่งม้าของแต่ละหมู่บ้านในที่ขึ้นอยู่กับเซียน่าที่มี 17 หมู่บ้าน จะจัด 2 ครั้ง คือวันที่ 2 ก.ค. และ วันที่ 16 ส.ค. ในทุกๆ ปี สถานที่จัดคือ Piazza del Campo การแข่งแต่ละครั้งจะแข่งกันสิบเขต เจ็ดเขตแรกมีสิทธิ์ อีกสามเขตจับฉลาก เขตที่เหลือจะแข่งกันในครั้งที่สอง 16 สค. แต่ละเขตจะมีธงที่มีสัญลักษณ์และสีที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เช่น อินทรี, หอยทาก, เต่า, นกฮูก, ยูนิคอร์น, มังกร, ยีราฟ, ห่าน การแข่งม้า Palio มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ว่าเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 6 หรือ 1,500 ปีล่วงมาแล้ว
อย่าลืมไปที่ Palazzo Pubblico หากคุณสนใจภาพ frescoes และ Duomo of Siena ซึ่งอุทิศให้กับนักบุญ St. Catherine ซึ่งเกิดที่นี่
Volterra
cr.pic from:pixabay
ต้องขอขอบคุณภาพยนต์ซีรี่ย์ดังที่ชื่อ Twilight ที่ทำให้หลายๆ คนเริ่มรู้จักเมืองนี้ เมืองที่ชื่อ Volterra มันมีความเป็นทัสคานีแบบดั้งเดิมเพราะที่นี่เป็นถิ่นฐานของผู้ที่มาอยู่ก่อนชาวโรมันนั่นคือชาว Etruscan มาสัมผัสกับทิวทัศน์บนยอดเขาเหมืองเศวตศิลา และคอลเลกชันที่สำคัญของอีทรัสคันและสิ่งประดิษฐ์ของโรมัน Volterra เป็นฐานที่มั่นของอีทรัสคันที่สุดท้ายก่อนจะตกไปเป็นเมืองของ Romans ที่น่าสนใจพอๆ กันอยู่ที่ร้านอาหารที่ต้องเริ่มต้นด้วย Del Duca Ristorante-Enoteca อาหารแบบท้องถิ่นแต่ให้บริการในแบบร่วมสมัย ที่นี่มีเห็ดท้องถิ่น เนื้อสัตว์ และผักสวนที่มาจากเขตเพาะปลูกใกล้ๆ อีกร้านที่มีบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง ก็ที่ Trattoria da Bado ในพื้นที่ San Lazzaro เสริฟอาหารพวกปลาเช่น baccalà และstoccafisso (เป็นปลาคอด) บางคนประหลาดใจว่าทำไมหากินได้ที่นี่ ก็เพราะ Volterra ตั้งอยู่บนยอดภูเขาที่ลาดลงไปสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั่นเอง
Arezzo
Piazza Grandeจตุรัสกลางเมือง Arezzo ตอนมีตลาดนัดขายของ antique
เมืองนี้ใช้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนต์ดังที่ชื่อ Life is Beautiful มันเงียบเสงี่ยมเจียมตัวทั้งๆ ที่เคยเป็น 1 ใน 12 เมืองหลวงของพวก Etruscan มาก่อน มันจึงสะสมความมั่งคั่งด้านศิลปะต่อเนื่องมาจนถึงยุคกลางที่มันก็เป็นนครรัฐอิสระปกครองตัวเองปัจจุบันเป็นที่โปรดของบรรดา culture and art lovers ให้ไปดู Church of San Francesco ซึ่งมีภาพ frescoes ศตวรรษที่ 15 ที่วาดโดย master Piero della Francesca และยังมี Vasari’s frescoes ที่ Casa Vasari กับพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุ Archaeological Museum ที่มีของมีค่า Etruscan ที่ถูกขุดได้
Cortona
หลังจากที่ Frances Mayes ได้แต่งหนังสือเรื่อง Under the Tuscan Sun เล่าเรื่องชีวิตของสาวอเมริกันที่เคยมาอยู่ที่นี่ Cortona ก็เลยกลายเป็นเมืองที่อยู่ในตารางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวอเมริกันแบบรัฐบาลอิตาลีไม่ต้องเปลืองงบโฆษณา มันกลายเป็นเมืองที่ผ่านหรือเมืองที่ต้องมาแบบเช้าบ่ายกลับ มันเป็นเมืองแบบทัสคานี hill town แท้ๆ ที่วิวสวยบรรยากาศดีอาหารอร่อยพอมีพิพิธภัณฑ์งานศิลปของ Etruscan ให้ดูบ้างที่ชื่อ Museo dell’Accademia Etrusca
Fiat Cinquecento
FACT: เฟียต 500 คือตำนานของ city car มันถือว่าเป็นต้นแบบของcity car หรือเป็น city car concept คันแรก ออกขายในปี 1957, มันมีราคาถูกเหมาะกับช่วงหลังสงครามที่คนไม่ค่อยจะมีเงินกันนัก แต่มันก็ใช้งานได้ดีแถมยังเปิดหลังคาได้ ขนาดมันเล็กกว่ารถคันไหนในยุคนั้น(ลองนึกภาพรถอเมริกันในปีเดียวกัน) มันยาวแค่ 2.97 เมตร ใช้เครื่องยนต์2สูบ 479 cc ประหยัดน้ำมันและระบายความร้อนด้วยอากาศเครื่องวางหลัง ในปี 2007 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 50ปี ของรถรุ่นนี้เฟียตได้ออกรุ่น Nuova 500 (New500)ออกมาและได้รับการต้อนรับจากตลาดเป็นอย่างดี มันเป็นความภูมิใจของชาวอิตาเลียนเหมือนที่ชาวเยอรมันภูมิใจกับรถโฟลค์เต่าและชาวฝรั่งเศสที่มีซีโทรเอน(ซีตรอง)2CVหรือลูกเป็ดขี้เหล่ นั่นเอง