เที่ยวเขตLombardia part II
..."ไม่น่าเชื่อว่าลีโอนาโดนำใบหน้าจากคนจริงในสมัยนั้นมาเป็นแบบของสาวกแต่ละคนและในส่วนของหน้าของจูดาสาวกที่ทรยศนั้น ลีโอนาโดถึงขนาดเดินเข้าออกไปคุกในมิลานเพื่อหาใบหน้าแบบคนขี้โกงไปเป็นต้นแบบ มันกลายเป็นผลงานทางศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่งดงามจนแทบต้องหยุดหายใจทีเดียว..."
ลอมบาร์ดีหรือลอมบาร์เดีย ในภาษาอิตาเลียนเป็นภูมิภาคขนาดใหญ่ในตอนเหนือของอิตาลีติดพรมแดนสวิสที่นี่คุณจะได้พบกับมิลานเมืองเรอเนสซองค์ที่งดงามรวมทั้งเมืองที่น่าสนใจอย่างBergamo,Paviaและ Mantua แต่ที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษก็คือการมาเที่ยวLake district หรือเขตทะเลสาบที่ขึ้นชื่อ เช่นทะเลสาบComo (โคโม)และอิเซโอ( Iseo) และบางส่วนของทะเลสาบ Maggiore และ Garda รวมถึงความสวยงามของหุบเขาVal Camonica, เขตพื้นที่ด้านทิศเหนือของทะเลสาบอิซิโอซึ่งมีงานศิลปะบนก้อนหินจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่น่ามหัศจรรย์ แต่สำหรับผู้ที่มีเวลาไม่มากและไม่เคยมามิลานมาก่อนขอให้ไปสถานที่ๆแนะนำข้างล่างนี้ให้ได้ครับ
Duomo ของมิลาน
ใครมาที่มิลานก็ต้องเริ่มต้นจาก'จัตุรัสดัวโม่'เพราะที่นี่คือศูนย์กลางที่มีทุกอย่างครบครันสำหรับผู้ที่มีเวลาไม่มากใน มิลาน หลายๆคนมักจะเริ่มจากการถ่ายรูปกับแลนด์มาร์คของที่นี่ก่อนเลยซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากมหาวิหารประจำเมืองมิลานแห่งนี้
คำว่า'ดัวโม' Duomo มาจากคำภาษาละตินว่า domus ที่แปลว่าบ้านซึ่งหมายถึงบ้านของพระเจ้านั่นเอง ก็คือโบสถ์วิหารในภาษาอิตาเลียนเช่นเดียวกับในภาษาอังกฤษก็คือ "Cathedral"แต่มักต้องเป็นโบสถ์วิหารที่มีความสำคัญสูงสุดของเมืองนั้นเป็นโบสถ์หลักของเมืองที่เป็นที่ประทับของพระคริสต์ระดับสูงอย่างพระสมเด็จราชาคณะเช่น archbishop ซึ่งเนื่องจากเป็นเหมือนวัดหลวงก็จะใช้เฉพาะการประกอบพิธีสำคัญทางศาสนาของเมืองเท่านั้น
จุดเด่นของมหาวิหารแห่งมิลานนอกจากเรื่องการออกแบบที่เห็นแล้วต้องทึ่งในรายละเอียดแล้วยังเน้นใช้วัสดุที่เป็นหินอ่อนจากเมือง Candoglia ที่มีคุณสมบัติเหมือนเรืองแสงดูสว่างสดใสแม้ในตอนกลางคืนโดยเฉพาะด้านหน้าเป็นสถาปัตยกรรมในสไตล์อิตาเลียนกอธิคหรือกอธิคยุคใหม่และถือเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นดั่งอนุสรณ์สำหรับมหานครแห่งนี้แต่กว่าจะมาสวยงามขนาดนี้ใช้เวลาก่อสร้างต่อเติมตกแต่งและมีการปรับเปลี่ยนรูปโฉมมาตลอดจากปี 1386จนรายละเอียดสุดท้ายคือประตูด้านหน้านั้นมาสมบูรณ์แบบในปี1965นับแล้วประมาณ600 ปีทีเดียวใช้สถาปนิกชื่อดังมาหลายยุคหลายสมัยรวมทั้งลีโอนาโด ดาวินชี่ จากเมืองฟลอเรนซ์ซึ่งสมัยที่มาวาดรูป the last supper ที่มิลานก็ถูกทาบทามให้มาช่วยในโครงการนี้เช่นกันแต่ที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือรายละเอียดด้านหน้า(façade)ซึ่งมาปรับในยุคของนโปเลียนที่บุกขยายดินแดนจากฝรั่งเศสมาได้ดินแดนทางเหนือของอิตาลีและได้สถาปนาตนเองเป็น king of Italy โดยได้ขอทำพิธีที่วิหารแห่งนี้ในช่วงปี1805ซึ่งท่านได้สั่งให้สถาปนิกที่ชื่อPellicaniเพิ่มความงดงามโดยเฉพาะด้านหน้าของวิหารโดยบอกว่าจะใช้เงินท้องพระคลังของฝรั่งเศสมาเป็นค่าใช้จ่ายให้
ปัจจุบันการเข้าชมในโบสถ์นั้นต้องเสียเงินค่าเข้าหลังจากเปิดให้เข้าฟรีมาตลอดรวมทั้งการขึ้นไปชมบนหลังคาโบสถ์ซึ่งจะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้คุณรู้สึกว่ามาถึงมิลานอย่างแท้จริงนอกจากจะได้ชมวิวทิวทัศน์และยอดหลังคาแหลมของโบสถ์(pinnacles)ทั้ง135 ยอดที่บรรจงประดิษฐ์ประดอยแบบใส่รายละเอียดอย่างที่สุดแล้วยังได้ไปชมยอดหอคอยแม่พระ Madonnina statue ซึ่งออกแบบโดยGiuseppe Peregoc และสร้างเสร็จในปี 1762 มีความสูง 108.5 เมตร ในสมัยนั้นตั้งใจห้ามไม่ให้อาคารสถานที่ใดสูงกว่าอนุสาวรีย์แม่พระนี้ถือเป็นประเพณี แต่ในปี1950 อาคาร Pirelli ถูกสร้างขึ้นมาเป็นอาคารสำนักงานที่สูงสุดช่วงนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างแบบจำลองอนุสาวรีย์แม่พระไว้บนหลังคาตึกด้วย และในปัจจุบันตึกPalazzo Lombardia กลายมาเป็นตึกที่สูงที่สุดในมิลานก็ยังต้องมี Madonnina statue จำลองอยู่บนดาดฟ้าเช่นกัน
Santa Maria delle Grazie
วัดแบบคอนแวนที่เดี๋ยวนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เพราะผลงานชิ้นเอกของอัจฉริยะบุรุษของอิตาลีที่ชื่อว่า Leonardo da Vinci ทำให้ผู้คนจากทุกสารทิศหลั่งไหลกันมาชมภาพวาดThe Last Supper ที่ถูกวาดขึ้นบนกำแพงวัดแห่งนี้ในช่วงปี 1495 และ 1497 สำหรับงานนี้ Leonardo ต้องการให้รายละเอียดที่มากกว่า และมีการสะท้อนแสงที่ดีกว่าที่สามารถทำได้ด้วยการวาดแบบ fresco หรือการทาสีขณะพื้นปูนเปียกแบบดั้งเดิม เขาจึงวาดภาพ “อาหารค่ำมื้อสุดท้าย” บนผนังแห้งมากกว่าบนพื้นเปียก ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ภาพแบบfrescoแต่เป็นเทคนิคใหม่โดยมีการทาเหมือนตัวเคลือบทับในภายหลังแต่ปรากฎว่าเทคนิคนี้มันกลับไม่ทนทานเหมือนเฟรสโกเพราะมันจืดจางและลอกเร็วกว่า ที่น่าทึ่งอีกเรื่องคือเรื่องperspective คือมุมมองที่มีมิติโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่พระเยซู ต้องบอกว่าในความเป็นartที่ผู้อื่นมองเห็นสำหรับลีโอนาโดแล้วมันคือmathหรือการคำนวนล้วนๆเพราะเค้าเก่งเรื่องคณิตศาสตร์อยู่แล้วperspectiveก็คือเรขาคณิตกลายๆนั่นเอง นอกจากเทคนิคการวาดที่ถูกศึกษากันมาก รูปนี้น่าสนใจตรงการนำเสนอเพราะรูปของเหตุการณ์ของอาหารมื้อสุดท้ายที่พระเยซูเสวยพระกระยาหารกับสาวกทั้ง12คนนั้นมีอยู่ในพระคัมภีร์เก่าและถูกนำมาวาดมาโดยศิลปินหลายคนมาแล้ว ซึ่งแต่ละภาพที่ออกมาก็จะตามแต่จินตนาการของแต่ศิลปินนั้นๆว่าจะถ่ายทอดเหตุการณ์ครั้งนั้นออกมาในบรรยากาศแบบไหนตึงเครียดมั้ยหรือสบายๆ สิ่งที่ลีโอนาโดเจาะจงนำเสนอก็คือเหตุการณ์ในทันทีหลังจากที่พระเยซูบอกว่า“มีเจ้าคนหนึ่งในที่นี่ที่ทรยศต่อข้า” การนำเสนอจึงออกมาในรูปแบบปฏิกิริยาการแสดงออก(expression)บนใบหน้าของสาวกทั้ง12คนซึ่งบางคนทำหน้าสงสัยปรึกษากันเพื่อระบุตัวว่าเป็นใครบางคนยังงงแบบไม่เชื่อว่าเป็นไปได้อย่างไรพระองค์ดีกับพวกเราทุกคนขนาดนี้ยังมีคนทรยศอีกหรือ? และแน่นอนใบหน้าของสาวกJudas คนทรยศมีการแสดงใบหน้าที่มีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด ไม่น่าเชื่อว่าลีโอนาโดนำใบหน้าจากคนจริงในสมัยนั้นมาเป็นแบบของสาวกแต่ละคนและในส่วนของหน้าของจูดาสาวกที่ทรยศนั้น ลีโอนาโดถึงขนาดเดินเข้าออกไปคุกในมิลานเพื่อหาใบหน้าแบบคนขี้โกงไปเป็นต้นแบบ มันกลายเป็นผลงานทางศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่งดงามจนแทบต้องหยุดหายใจทีเดียว (ผลงานชิ้นเอกแห่งนี้สามารถชื่นชมได้แต่ต้องมีการสำรองonlineล่วงหน้าทางอินเตอร์เน็ต )
ท่านทราบหรือไม่? ว่าภาพเฟรสโกFrescoคืออะไร มันคือภาพบนผนังหรือบนเพดานปูนโดยใช้เทคนิคที่ต้องวาดในขณะที่ปูนยังเปียกอยู่โดยน้ำจะเป็นตัวพาหะทำให้เม็ดสีซึมเข้าไปในเนื้อปูนกลายป็นเนื้อเดียวกัน คำว่าfresco ในภาษาอิตาเลียนแปลว่า fresh หรือสดนั่นเอง ซึ่งตรงกันข้ามกับsecco ที่เป็นเทคนิคใช้ในวาดเมื่อตอนปูนแห้งแล้วมันใช้เสริมงาน frescoอีกทีในอิตาลีภาพfresco มีมาตั้งแต่ก่อนยุคโรมันแล้วโดยพวกอีทรุสคันEtruscan ซึ่งนักประวัติศาสตร์บอกว่าเทคนิคfrescoนั้นมากจากเกาะ Creteในประเทศกรีซซึ่งที่นั่นมีการค้นพบภาพที่วาดมาตั้งแต่ 1,500 ปีก่อน คริสตกาล ส่วนใหญ่แล้วภาพ frescoในอิตาลีที่มีชื่อจะเป็นภาพในยุคเรอเนซองค์
Galleria Vittorio Emanuele II
ช๊อปปิ้งมอลล์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกที่ว่าตั้งอยู่ภายในอาเขตสุดหรูใจกลางของมิลาน แกลเลอเรียสร้างตั้งแต่สมัยVittorio Emanuele II,กษัตริย์องค์แรกของราชอาณาจักรอิตาลี มันถูกออกแบบมาตั้งแต่ปี 1861 และสร้างโดยGiuseppe Mengoniระหว่าง 1865 และ 1877 โครงสร้างประกอบด้วยโครงเหล็กรองรับกระจกโค้งตัดเป็นแปดเหลี่ยมครอบคลุมถนนที่เชื่อมต่อระหว่างPiazza del Duomo กับ Piazza della Scala
หากท่านไปยืนใต้กระจกโค้งตรงใจกลางบนพื้นที่แปดเหลี่ยมจะเห็นว่าที่พื้นจะประดับด้วยโมเสคเป็นรูปตราประจำเมืองของสามเมืองที่เคยเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอิตาลี (ตูรินฟลอเรนซ์และโรม) โดยมีตราของมิลานเพิ่มไปด้วย มีประเพณีตลกๆบอกว่าถ้าใครสามารถยืนด้วยส้นเท้าแล้วหมุนได้3รอบตรงจุดที่เป็นรูปอัณฑะของวัวบนตราประจำเมืองตูริน(มีรูปวัว)จะนำโชคดีมาให้ ก็เลยทำให้เกิดเป็นหลุมตรงกระเบื้องโมเสคบริเวณนั้นจนทำให้ทางการต้องเจาะเป็นรูอำนวยความสะดวกให้ เค้าว่ากันว่าถ้าคุณมีแฟนเป็นสาวจากมิลานเธอจะขู่ว่าหากนอกใจเธอละก็จะโดนบดขยี้แบบเดียวกับวัวหนุ่มตัวนั้น
La Rinascente
ถ้าพูดถึงGalleria ก็คงต้องพูดถึงลา รินาเชนเต(La Rinascente)ด้วยอยู่ใกล้ๆกันเลยตรงโบสถ์Duomo นั่นเองกลางเมืองสุดๆเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่โดดเด่นไปด้วยพื้นที่ขนาด8 ชั้นมีของดีและทันสมัยให้เลือกหลากหลายเรียกว่าเดินเพลิน และเมื่อคุณช้อปเสร็จให้ลองไปทาน Il Bar ร้านซูชิของ La Rinascente ที่ชั้นดาดฟ้าบนสุดและชมความงามของDuomoและความงามน่ามหัศจรรย์ใจซึ่งเมือง Milanไปด้วย
ห้างนี้ถือเป็นสาขาแรกแต่จริงๆแล้วปัจจุบันห้างมีสาขารวม 11 สาขา ทั้งหมดตั้งอยู่ในอิตาลี ได้แก่ สาขามิลาน, โรม (2 สาขา), ฟลอเรนซ์, กาตาเนีย, กาลยารี, ปาแลร์โม, เจนัว, ปาโดวา, มอนซาและตูริน
รินาเชนเต้มีแนวคิดที่ว่า ‘ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาสำหรับตัวคุณเองหรือจะซื้อให้ใครก็ตาม’ เรารับประกันว่าคุณจะหาได้ที่ La Rinascente
ที่ต้องพูดถึงเพราะว่าปัจจุบันมีเจ้าของเป็นคนไทยแล้ว ลา รินาเชนเตคือห้างสรรพสินค้าสัญชาติอิตาลี ที่มีconceptว่าที่ถือครองโดยเครือเซ็นทรัลของไทย ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1865 โดยสองพี่น้องลุยจี (Luigi) และแฟร์ดีนันโด บอกโกนี (Ferdinando Bocconi) ที่นครมิลานแต่เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 เครือเซ็นทรัลโดยเซ็นทรัลรีเทลได้ซื้อกิจการ 100% ของห้างด้วยเงินทุนจำนวน 260 ล้านยูโร (ราว 11,000 ล้านบาท)ซึ่งเครือเซ็นทรัลคาดการณ์ว่าจะคืนทุนในระยะเวลา 8 ปี
ผมไม่แน่ใจว่าที่เคยได้ยินมาถูกต้องหรือเปล่าว่าสามารถใช้ The One card จากเมืองไทยไปลดราคาได้ด้วยหากไปซื้อของที่นี่
คราวนี้ไม่ได้แนะนำเรื่องอาหารเพราะจะพูดถึงในคราวหน้าแต่ไหนๆก็มาแถวนี้แล้วผมขอแนะนำ Wine bar ร้านที่ผมชอบที่ชื่อ 'Signorvino ' หากคุณเดินออกมาจากลา รินาเชนเต ก็ให้เลี้ยวซ้ายไปสัก60เมตรมันอยู่ด้านหลังวิหารไกล้ๆเองครับมีไวน์ ซีเล็คชั่นให้เลือกจากทุกเขตของอิตาลี จะซื้อกลับหรือเปิดทานที่ร้านก็ได้บรรยากาศแบบ'มิลาน'มากๆเพราะคึกคักแบบไม่หรูเกินแต่เท่ ครับมันมีส่วนที่เป็นทั้งร้านอาหารและทั้งบาร์ที่เลือกทานเฉพาะantipasto ก็ได้ ไปช่วงเย็นๆคึกคักดีครับ